การเชื่อมต่อ Internet of Things (IoT) ในงานสาธารณสุข ช่วยชีวิตคนทั่วโลก
ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น การเชื่อมต่อทุกสิ่งเข้าด้วยกันผ่านอินเทอร์เน็ต หรือที่เรียกว่า Internet of Things (IoT) กำลังปฏิวัติวงการสาธารณสุขอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เทคโนโลยี IoT ไม่เพียงแต่ช่วยอำนวยความสะดวกในการดูแลสุขภาพ แต่ยังมีศักยภาพในการช่วยชีวิตผู้คนได้อีกด้วย
ปัจจัยที่เกี่ยวกับปัญหานี้ค่อนข้างซับซ้อน แต่สำหรับประเทศที่พัฒนาแล้วจะปัญหาน้อยลง ทั้งความพอเพียงของปริมาณอาหาร น้ำสะอาดและสิ่งแวดล้อม การเข้าถึงของวัคซีนและการดูแลป้องกัน เหมือนกันกับเทคโนโลยีบองอย่างที่มีเพียงบางมุมของโลก เช่น cloud computing เทคโนโลยีอุปกรณ์มือถือ social media และ Internet of Things (IoT) ที่ตอนนี้กำลังถูกเชื่อมโยงกับการบริการด้านสุขภาพในประเทศที่มีรายได้น้อย - ปานกลาง ด้วยวิธีการที่น่าสนใจ
IoT หมายถึงอุปกรณ์ “อันชาญฉลาด” ที่ใช้เซ็นเซอร์ในการรวบรวมข้อมูลและสามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้ ผู้ให้บริการด้านสุขภาพด้วยเครื่องมืออันชาญฉลาดนี่ จะช่วยลดช่องว่างในด้านสุขภาพที่ถูกต้องอย่างทั่วถึง อุปกรณ์ IoT สามารถปรับปรุงขั้นตอนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยที่บ้านและผู้ป่วยระดับแนวหน้าได้ ผู้ใช้บริการด้านสุขภาพจะได้รับการฉีดวัคซีน การวินิจฉัย และการรักษาสำหรับโรคเรื้องรังที่ป้องกันได้เร็วกว่าที่เคยเป็นมา ภายในสิทธิที่ควรจะได้รับส่วนใหญ่ในการใช้เทคโนโลยี IoT
ผู้นำในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี IoT ไปยังด้านสุขภาพทั่วโลกคือ บริษัทไม่แสวงผลกำไร Simprints ที่สหราชอาณาจักร เมือง Cambridge ซึ่งจัดขึ้นเพื่อใช้งานโซลูชั่นพิมพ์ลายนิ้วมือแบบไบโอเมตริกซ์ในประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติจากสภาพอากาศ เทคโนโลยีของ Simprints จะช่วยให้สามารถเข้าถึงการบริการดูแลสุขภาพและบริการช่วยชีวิตอื่นๆ ผ่านระบบ ID ของบริษัท ซึ่งถูกปรับให้เหมาะสำหรับลายนิ้วมือที่มีแผลเป็น ผิวหนังนิ้วมือเสื่อมโทรม และนิ้วมื้อที่เสียหาย ซึ่งเป็นแหล่งยืนยันสุดท้าย
“เราได้จัดให้มีการเชื่อมโยงที่ง่ายและถูกต้องแม่นยำตลอดเวลาระหว่างประชาชนและการบันทึกทางการแพทย์ทั้งหมด องค์กรเรากำลังทำงานด้วยการลิ้งก์พวกเขาเข้าด้วยกัน” Christine Kim ผู้อำนวยการฝ่ายพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กล่าว “พวกเราเล่นกับไบโอเมตริกซ์ในปัญหาที่ใหญระดับโลก ที่ไม่สามารถรู้ได้ว่าใครคือผู้ที่จะประสบผลสำเร็จ และใครที่กำลังล้มเหลว”
เมื่อทำงานภายในระบบปัจจุบัน องค์กรด้านการดูแลสุขภาพและองค์กรไม่แสวงผลกำไรจำเป็นต้องยืนยันตัวตนของผู้ป่วยและโรคที่ต้องการรักษา ซึ่งวิธีการเข้าถึงการบันทึกสุขภาพอย่างถูกต้องแม่นยำ โดยมีหรือไม่มี ID ที่บันทึกแล้วก็ได้ การปฏิบัติเช่นนี้ผ่านทาง IoT ทำให้สามารถยืนยันการลงทะเบียนผู้ป่วยและระบุข้อมูลยืนยันตัวตนได้รวดเร็วขึ้น ทำให้มีการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมและมีความหวังถึงผลลัพธ์ที่ดีขึ้น เพิ่มการเข้าถึงการดูแลขั้นพื้นฐาน เช่น การตรวจครรภ์และการฉีดวัคซีนเพิ่มภูมิคุ้มกัน
“พวกเราทำงานแบบออฟไลน์ และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราสามารถทำงานได้ในทรัพยากรที่ต่ำ ที่ไม่มี Wi-Fi หรือสัญญาณเครื่อข่ายที่พร้อมใช้งาน” Kim กล่าว “พวกเราวางใจใน Internet of Things (IoT) ที่จะช่วยสร้างระบบการทำงานของเรา”
Simprints ได้นำ plugs เข้าไปในชุดแพลตฟอร์มข้อมูลอุปกรณ์มือถือและตามข้อกำหนดของ Kim ที่มีอยู่ ซึ่งมีหลายองค์กรแล้วที่มีลูกทีมระดับแนวหน้าและสุขภาพดี ที่ใช้แอพลิเคชั่นชุดข้อมูลบนสมาร์ทโฟนของเขา “เมื่อลูกทีมระดับแนวหน้าใช้ Simprints ในการลงทะเบียนและระบุผู้รับผลประโยชน์ และมีการใช้ Simprints แบบออฟไลน์” Kim กล่าว “ID ที่ไม่ระบุชื่อที่สร้างขึ้นจากเทมเพลตลายนิ้วมือจะถูกย้ายจากเครื่องสแกนเนอร์ไปยังโทรศัพท์ เมื่อมีสัญญาณอินเตอร์เน็ตจะสามารถเชื่อมไปยังระบบ cloud ได้”
Simprints ในปัจจุบันได้ทำงานอยู่ในเอเซียใต้ แอฟริกาใต้ซาฮาร่า และตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์กับองค์กรต่างๆ เช่น BRAC ในบังคลาเทศ UNICEF ในไนจีเรีย และเร็วๆ นี้จะร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการในอัฟกานิสถาน “เราได้รับการติดต่อจาก 150 องค์กรที่ต้องการเทคโนโลยีประเภทนี้ในการติดตามผู้ได้รับประโยชน์ทั่วโลก” Kim กล่าว “ข้อมูลทั้งหมดของพวกเราจะถูกเก็บไว้ใน Google Cloud พวกเราปฏิบัติตามการป้องกันข้อมูลของ EU และมาตรฐานความเป็นส่วนตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้มงวดที่สุดในโลก”
Nexleaf Analytics ที่ Los Angeles อีกหนึ่งองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรมุ่งเน้นไปที่เซ็นเซอร์และข้อมูลวิชาการเทคโนโลยี โดยมีวัตถุประสงค์ในการใช้สารสนเทศเพื่อปรับปรุงการแทรกแซงการดูแลสุขภาพและระบบทั่วโลก
“ความท้าทายหนึ่งที่ต้องเผชิญในภาคการฉีดวัคซีนทั่วโลกคือการขาดการมองเห็นถึงประสิทธิภาพของระบบ” ผู้ร่วมก่อตั้ง Nexleaf และ CTO Martin Lukac กล่าว โซลูชั่นหนึ่งที่ Nexleaf เสนอให้ คือ ColdTrace เป็นเซ็นเซอร์ราคาต่ำ ซึ่งออกแบบเพื่อใช้ตรวจสอบตู้เก็บวัคซีนในพื้นที่ชนบทหรือพื้นที่ห่างไกล
“ColdTrace จะอัปโหลดข้อมูลประสิทธิภาพไปยังเซิฟเวอร์ cloud ของเราในแบบ real time” Lukac กล่าว “ColdTrace เปลี่ยนตู้เย็นเก็บวัคซีนธรรมดาให้กลายเป็นตู้เย็นอัจฉริยะที่สื่อสารด้วยระบบ central และสามารถแจ้งเตือนขอความช่วยเหลือหากปริมาณวัคซีนมีความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหาย โดยการเปิดอุณหภูมิที่มากเกินไป”
ปัญหาโดยตรงที่พบบ่อยคือ ที่เก็บรักษาวัคซีนไม่เพียงพอ ซึ่งจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีนและกระบวนการ supply chain ของพวกเขา ร่วมไปถึงหน่วยงานภาครัฐและองค์กรเอกชน เมื่อไม่นานมานี้ องค์กรอนามัยโลก (WHO) แสดงข้อมูลที่ช่วยให้เห็นว่าการสร้างภูมิคุ้มกันจะช่วยป้องกันการเสียชีวิตได้ถึง 2 - 3 ล้านคนต่อปี ซึ่งอาจจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หากวัคซีนได้ถูกขนส่ง ถูกจัดเก็บ และส่งมอบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
“มากกว่า 12,000 ที่ของ 5 อุปกรณ์ ColdTrace ของ Nexleaf ที่ได้รับการติดตั้งถึง 11 รัฐในอินเดีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครื่อข่ายข่าวกรองด้านวัคซีนอิเล็กทรอนิค” Lukac กล่าว “อุปกรณ์ของเราได้รับการติดตั้งในหลายจังหวัดในโมซัมบิก” ในเคนย่า ColdTrace ในปัจจุบันกำลังตรวจสอบเครื่องอำนวยความสะดวกในการจัดเก็บวัคซีนระดับภูมิภาคหลายแห่ง กระทรวงสาธารณสุขสามารถใช้ข้อมูลแดชบอร์ด ColdTrace ในการตรวจสอบสถานะของตู้เก็บวัคซีนที่ช่วยอำนวยความสะดวกด้านสุขภาพ ColdTrace แบบครบครันในแบบ real time และตู้เก็บอุปกรณ์ครบครันด้วย ColdTrace จะสามารถแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพเมื่อใดก็ตามที่ปริมาณวัคซีนอยู่ในขีดอันตราย”
ข้อความเตือนภัยแบบ real-time เหล่านี้จะกระตุ้นการตอบสนองที่จะสามารถช่วยประหยัดวัคซีน เช่น การตรวจสอบสลักบนประตูตู้เก็บ หรือการเปิดเครื่องสำรองข้อมูลไฟฟ้า “ข้อมูลของเราแสดงให้เห็นว่า เมื่อตู้เก็บวัคซีนร้องขอความช่วยเหลือ พยาบาลจะทำการป้องกันวัคซีน” Lukac กล่าว “ข้อความแจ้งเตือนเพียงอย่างเดียวจะช่วยลดการแช่แข็งวัคซีนในคลินิกสุขภาพถึง 74%”
การทำงานในรูปแบบนี้จำเป็นต้องมีการประสานงานกันซึ่งจะทำให้เกิดการจับคู่กับ IoT ได้สมบูรณ์แบบ “IoT และเทคโนโลยีเซ็นเซอร์มีประสิทธิภาพที่น่าเหลือเชื่อในการเอาชนะทรัพยากรและความท้าทายโครงสร้างพื้นฐานในประเทศที่มีรายได้ต่ำ” Natalie Evans กล่าว “ด้วยการฟังความต้องการของประเทศเหล่านี้และของผู้ใช้รายบุคคล พวกเราสามารถออกแบบ ทำซ้ำ ปรับปรุงประสิทธิภาพและโซลูชั่นให้มีราคาไม่แพงสำหรับความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดที่เราต้องเผชิญ : การเก็บรักษาของสิ่งแวดล้อม การผลิตอาหารที่เพียงพอ และการป้องกันโรคที่ร้ายแรง”
สามาคม ACT ได้คาดการณ์ว่าการเชื่อมต่อตลาดการดูแลสุขภาพจะมีมูลค่าถึง 117 พันล้านเหรียญในปี 2020 และ 40% ของการคาดการณ์ตลาดของ IoT จะมาจากประเทศที่กำลังพัฒนา ซึ่งจะต้องการโซลูชั่นของการดูแลสุขภาพรุ่นใหม่ การใช้ข้อมูลเพื่อรายงานโซลูชั่นเหล่านี้จะช่วยเพิ่มการบรรลุผลสำเร็จและประสิทธิภาพ ยกระดับการดูแลสุขภาพเพื่อสิทธิมนุษยชนที่ทุกคนพึงพอใจ
ตระหนักให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างโซลูชั่นสำหรับคนทำงานและผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล Autodesk Foundation กำลังช่วยบริษัทต่างๆ เช่น Nexleaf และ Simprints ในการแก้ไขปรับปรุงอย่างจริงจังผ่านการออกแบบอย่าชาญฉลาดและยังยืนมากขึ้น
ซินเนอร์จี้ซอฟต์ ตัวแทนจำหน่ายซอฟต์แวร์อย่างเป็นทางการและถูกต้องในประเทศไทยของออโตเดสก์ สำหรับท่านที่ต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ สามารถสอบถามได้ทางเจ้าหน้าที่ซินเนอร์จี้ซอฟต์ที่